ช่วงนี้มีโอกาสได้วางแผนภาษีให้กับหลายๆคน
ส่วนใหญ่ก็จะถามว่า
“พี่สนใจ LTF เพื่อลดหย่อน แนะนำหน่อย”
“แล้วพี่ต้องซื้อเท่าไร จึงไม่เกินสิทธิ์”
“เงินปันผลที่ได้มา ต้องเอามายื่นภาษีไหม”
“ระหว่าง RMF กับ ประกันบำนาญ อะไรดีกว่า”
“ผมควรซื้อประกันตัวไหนดี”
และอีกมากมาย หลายคำถามเกิดจาก เราไม่เข้าใจใน 3 สิ่งนี้ นั่นคือ
📌 #รายได้ หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองมีรายได้ประเภทไหน จริงๆแล้วรายได้ หรือเงินได้พึงประเมินนั้น แบ่งเป็น 8 ประเภท ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร
หากเรารู้ประเภทรายได้ เราก็จะรู้ว่าเราต้องยื่น ภ.ง.ด.ใด ต้องยื่นกลางปีไหม
แล้วรายได้ที่ได้รับนั้นได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีหรือไม่
เงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีจะเป็นฐานในการคำนวณว่าเราสามารถซื้อ LTF, RMF และประกันบำนาญ ได้เท่าไร
📌#ค่าใช้จ่าย เป็นสิ่งที่นำมาหักออกจากรายได้ แต่จะได้เท่าไร ก็ขึ้นกับเรามีรายได้ประเภทไหน เช่น เงินได้ประเภทที่ 1 หรือเงินเดือน จะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้สูงสุด 50% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
หากเป็นแพทย์ (วิชาชีพเฉพาะ) หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา ได้ 60% ในขณะที่วิชาชีพเฉพาะอย่างอื่น เช่น วิศวกร ได้แค่ 30% เป็นต้น
ขอเสริมว่าอาชีพแพทย์ ไม่ใช่รายได้ทุกตัวจะเป็น 40(6) เสียหมดนะคะ จากประสบการณ์ที่เคยเจอ คุณหมอหลายคนเข้าใจผิดว่าเงินได้ของตนเองนั้นเป็น 40(6) แต่ที่จริงเป็น 40(2)ก็มี ซึ่งหักค่าใช้จ่ายได้น้อยกว่ามาก (และภาษีก็มากตามไปด้วย)
📌#ค่าลดหย่อน ต้องบอกว่ามีมากมาย หลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนที่ติดตัวเรามาอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรหรือซื้ออะไรเพิ่ม หรือกลุ่มที่เราต้องหาเพิ่มเติมเอาเอง เช่น กลุ่มประกัน กลุ่มการลงทุน (LTF,RMF), กลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ดอกเบี้ยบ้าน หรือ ท่องเที่ยวเมืองรอง เป็นต้น
กลุ่มบริจาค หลายคนสนใจกันมากขึ้น เพราะนอกจากจะให้ประโยชน์กับบุคคลอื่นแล้ว ตัวเองยังได้ประโยชน์ด้วย สองต่อเลยทีเดียว
เงินบริจาคนำมาลดหย่อนสูงสุดได้ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน บางรายการลดหย่อนได้ถึง 2 เท่าของเงินบริจาคอีกด้วย เช่น การบริจาคเพื่อการศึกษา, สถานพยาบาลของรัฐ หรือการสนับสนุนการกีฬา เป็นต้น
หากเราเข้าใจ 3 สิ่งนี้ เราก็จะสามารถจัดการกับภาษีของเราได้ดียิ่งขึ้นค่า ส่วนใครที่ยังซื้อ หรือจัดการอะไรไม่ครบ ก็รีบหน่อยนะคะ เหลือไม่กี่วันก็จะสิ้นปีแล้ว (ปีนี้ซื้อ LTF, RMF ได้ถึง 28 ธ.ค. น้าา)
