#ลาออกมาเลี้ยงลูกเองหรือจ้างพี่เลี้ยงดี (คำเตือน : โพสต์นี้ยาวมาก)
เป็นหนึ่งในหลายๆคำถามที่ฟังดู simple แต่ไม่มีคำตอบไหนถูกหรือผิด
เหมือนคำถามที่ว่า
“ส่งลูกเรียน รร.แบบบูรณาการ หรือวิชาการดี”
“ลูกจะมีความสุขมากกว่าเมื่ออยู่ รร.ทางเลือกหรือเปล่า”
“ควรทำ Homeschool ให้ลูกดีกว่าไหม”
เพราะมันน่าจะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบ้าน/ครอบครัวมากกว่า
วันนี้อุ้ยขอหยิบยก คำถามนี้มาเล่าให้ฟังกัน “ลาออกมาเลี้ยงลูกเองหรือจ้างพี่เลี้ยงดี”
เพราะการวางแผนการเงิน คือ การวางแผนชีวิต เพราะฉะนั้น เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้ไปเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกค้า หรือผู้รับคำปรึกษา คือ #รับฟังปัญหา เช่นกรณีนี้ อุ้ยคงตอบไม่ได้ว่า แบบไหนดีไม่ดี แบบไหนถูกหรือผิด หน้าที่ของเรา คือ ประเมินให้ฟังว่า ทางเลือกแต่ละทาง อาจเกิดอะไรขึ้นบ้าง ความเสี่ยงคืออะไร
……………………………………………………………..
#คำถามที่ส่งมา : ตอนนี้เชอรี่ (ชื่อสมมติ) อายุ 36 ปีค่ะ เพิ่งตั้งท้องได้ 2 เดือน ทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชน เงินเดือนหักภาระที่ต้องผ่อนรถ และเงินให้แม่ มีเหลือประมาณ 50,000 บาท ที่ไว้ใช้จ่ายส่วนตัว อยู่กับสามีสองคน พ่อแม่สามีอยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่เชอรี่อยู่ กทม. เหมือนกัน แต่ไม่สะดวกที่จะช่วยเลี้ยงหลาน เนื่องจากอายุมากแล้ว หากคลอดแล้วจึงต้องเลี้ยงเอง หรือไปฝากที่เนอสเซอรี หรือจ้างพี่เลี้ยงแล้วไปฝากไว้บ้านแม่ให้ช่วยดูๆมองๆให้ แต่สามีอยากให้ลาออกมาดูลูกเอง และจะให้เงินเดือน แต่เชอรี่คิดว่าลำพังแค่หัก คชจ. ลูกที่ประเมินไว้ น่าจะมีใช้ประมาณเดือนละ 10,000 บาท ควรลาออกมาเลี้ยงเอง หรือจ้างพี่เลี้ยงดีคะ (ใจจริงไม่อยากลาออกเลยค่ะ 😭 )
คุณเชอรี่ต้องคุยกับสามี บอกเค้าตรงๆว่า ไม่อยากลาออกเพราะอะไร กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย หรือ สภาพที่ต้องอยู่บ้านกับลูกตลอด 24 ชม. หรือยังมีความสุขกับการทำงาน ยังอยากเติบโตในอาชีพ หรือเหตุผลอะไรก็ตาม ลองนั่งเปิดอกคุยกัน หากออกมาเลี้ยงลูก ค่าผ่อนรถ กับเงินที่ให้แม่ละ สามีจะช่วย support เหมือนเดิมไหม
📍OPTION 1
หากไม่ลาออก ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา คือ
#ค่าพี่เลี้ยง/ #ค่าเนอสเซอรี่
พี่เลี้ยงเด็กเอาจริงๆก็มีหลายเกรด หลายราคา มีตั้งแต่ เด็กพม่า ราคา 8-9 พัน ไปจนถึงคนที่มีประสบการณ์ ผ่านการอบรมมาแล้ว เป็นพยาบาลด้วย หรือแม้แต่พูดภาษาอังกฤษได้ สอนพัฒนาการเด็กได้ เรียกว่ามีหลากหลายจริงๆ เคยเห็นคนรู้จักจ่ายถึง 25,000 บาท รวมกินอยู่ มีห้องนอนแอร์ส่วนตัว แต่โดยเฉลี่ยทั่วไปก็เห็นจ่ายกันรวมโอที รวมค่าอาหาร น้ำไฟ ประมาณ หมื่นกลางๆต่อเดือน ตีกลมๆ เดือนละ 15,000 บาทละกัน
หากส่งศูนย์เลี้ยงเด็ก หรือเนอสเซอรี ลองเลือกดูที่ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน หรืออยู่ระหว่างทางไปกลับ เรทก็หลากหลายอีกเช่นกัน ขึ้นกับว่าเราฝากเต็มวัน ครึ่งวัน รายวัน รายเดือน หรืออัตราส่วนเด็กต่อพี่เลี้ยงว่ามากน้อยแค่ไหน รวมนม อาหารว่างไหม มีกิจกรรมอะไรบ้าง แม่ๆควรไปดูสถานที่จริงก่อน และสอบถามจากคุณแม่รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ที่เคยฝากศูนย์ที่เราดูๆไว้ อุ้ยขอใช้เรทเดือนละ 8,000 บาท อ้างอิงจากศูนย์ใกล้ที่ทำงานคุณเชอรี่ตามที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมมา
ส่วนพวกค่าเดินทางไปส่งและรับกลับ อุ้ยมองว่าอาจจะเพิ่มมาไม่มาก หรือถ้าเป็นทางผ่านอาจจะไม่เพิ่มเลย ถ้าเอาไปฝากบ้านคุณยาย ก็อาจจะตอบแทนคุณยายบ้างตามสมควร ซึ่งเคสนี้เราค่อยมาปรับตัวเลขค่าใช้จ่ายตรงนี้อีกทีหลังคลอดก็ได้
ซึ่ง ถ้าเทียบกับ ข้อมูลที่คุณเชอรี่ให้มาว่าหลังหักค่าใช้จ่ายผ่อนรถและเงินให้แม่ ยังมีเหลืออีก 50,000 ที่เอาไว้ใช้จ่าย อุ้ยเลยต้องถามกลับไปว่า แล้วคชจ. ส่วนตัวจริงๆแต่ละเดือนนั้นเท่าไร คำตอบที่ได้คือ เหลือเป็นเงินสุทธิจริงๆเดือนละ 16,000 บาท ตีกลมๆ คือ ถ้าทำงาน จ้างพี่เลี้ยงด้วย ก็แทบไม่มีเหลือละ
ก็ต้องยอมรับว่าการมีพี่เลี้ยง อาจตอบโจทย์ในแง่ของการที่เรามีเวลาทำมาหากิน สร้างรายได้ หรือแม้แต่ทำให้เหนื่อยน้อยลง และสะดวกสบายมากขึ้น แต่เราอาจจะไม่สามารถคาดหวังเรื่อง #คุณภาพในการเลี้ยงดูได้ และการฝากไว้ที่เนอสเซอรี่หรือ สถานรับเลี้ยงเด็ก ก็ต้องทำใจว่าลูกเราอาจจะป่วยบ่อยได้ เป็นกังวลว่าเค้าจะเลี้ยงลูกเราดีหรือเปล่า จะโดนรังแกไหม เรื่องป่วย สิ่งที่น่าจะช่วยบรรเทาได้คือ ทำสต็อคนมแม่ค่ะ ให้ลูกกินนมแม่ให้นานที่สุด
📍OPTION 2
แต่ถ้าเลือกลาออกมาเลี้ยงลูกเอง โอเค คชจ. ฟุ่มเฟือยต่างๆพวก ค่าเสื้อผ้า กระเป๋ารองเท้า คสอ. หรือกาแฟแก้วละร้อยกว่าบาท คงลดไปเยอะ แต่เนื่องจากมีภาระผ่อนรถ และปกติให้เงินแม่ เลยต้องถามข้อมูลในส่วนของสามีกลับไปด้วย ซึ่งจากการนัดพบทั้งคู่เพื่อเก็บข้อมูลโดยละเอียด พบว่า สามี มีรายได้ หลังหัก คชจ. ส่วนตัว ค่าผ่อนบ้าน และ คชจ. ครอบครัวต่างๆแล้ว ยังมีกระแสเงินสุทธิเป็นบวกที่เพียงพอ กับค่าผ่อนรถคุณเชอรี่ และสามียินดีที่ให้เงินคุณแม่เชอรี่แทนเหมือนเดิม คุณเชอรี่ก็ยังมีใช้จ่ายส่วนตัวอีก เดือนละประมาณ 10,000 บาท
ความเสี่ยง กรณีนี้คือ สามีเป็นผู้หารายได้เพียงคนเดียว ดังนั้น หากเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้สามีทำงานไม่ได้ นั่นแปลว่า ชีวิตของคุณเชอรี่และลูกที่จะเกิดมาก็จะแย่ ดังนั้น จึงต้องเตรียมแผนบริหารความเสี่ยงในจุดนี้ด้วย
และถ้าคุณเชอรี่ลาออก นั่นแปลว่าสวัสดิการต่างๆที่เคยได้รับจากบริษัทก็จะหมดลงไปด้วย ดังนั้นจึงควรรีวิวประกันสุขภาพของคุณเชอรี่ด้วยเช่นกัน และพิจารณาเพิ่มในส่วนที่ควรจะมี
จริงอยู่การทิ้งหน้าที่การงานที่ดีของตัวเองไป และเงินเดือนเกือบแสน มาทำงานที่ไม่เคยมีวันหยุด แถมยังทำโอทีทุกวัน แม้การเลี้ยงลูกเอง สิ่งที่จะต้องเสียสละ ต้องแลกมา จะเยอะแค่ไหน แต่คุณแม่เต็มเวลาที่เลือกเส้นทางนี้มาก่อน คงตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า แม้มูลค่าที่ได้จะไม่ได้เป็นเงินสด แต่ ความน่ารัก ความสดใส ความฉลาดทางอารมณ์และสติปัญญาของเด็กหนึ่งคน แม้มีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่อาจะซื้อได้ เห็นด้วยไหมคะ ^^
❤️❤️
ด้วยการวิเคราะห์ให้ฟังทั้งสองกรณี รวมทั้งตัวเลขของทั้งคู่ หน้าที่ต่อไปจึงเป็นของ คุณเชอรี่และสามี ที่จะ #ตัดสินใจเลือกชีวิตครอบครัว ในแบบที่ต้องการ
การวางแผนที่ดี หลังจากที่ทั้งคู่ได้เลือกแล้ว ขั้นต่อไป คือการทำตาม Action Plan และมีการทบทวน (Review) สม่ำเสมอ ก่อนที่โพสต์จะยาวมากไปกว่านี้ (คือพยายามเขียนสั้นๆแล้วนะ ^0^ ) หากเลือกลาออกมาเลี้ยงลูก อุ้ยขอยกตัวอย่างสิ่งที่ต้องทำคร่าวๆ เช่น
1. สามีสำรองเงินฉุกเฉินให้มากขึ้นกรณีตกงาน ขาดรายได้
2. รีวิวประกันสุขภาพของสามี ภรรยา (และลูก ตามความเหมาะสม)
3. คำนวณค่าใช้จ่ายครอบครัว และมูลค่าหนี้สินคงค้างที่เหลืออยู่
4. คำนวณค่าใช้จ่ายการศึกษาบุตร (รวมทั้งการออม/ลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้)
5. พิจารณาสินทรัพย์ที่มี VS เป้าหมายการเงิน เพื่อดูว่าจำเป็นต้องมีทุนประกันเพิ่มไหม
ดูสิคะ กับแค่คำถามเดียว สิ่งที่เราต้องคิดคำนึง มันมีหลายประเด็นมากเลย นี่ยังไม่ได้พูดถึงแผนเกษียณของทั้งคู่ (ที่ไม่มีไม่ได้) เลยนะ แต่การเริ่มต้นสักหนึ่งอย่าง ก็ยังดีกว่าเราไม่เริ่มทำอะไรเลย
ย้ำอีกครั้ง ผู้ที่จะเป็นคนตัดสินใจ ว่าทางไหนดี คือ ครอบครัวนั้นๆ นักวางแผนการเงินมีหน้าที่ช่วยให้คำแนะนำ และช่วยทำให้ไปถึงเป้าหมายที่แต่ละบ้านได้เลือกไว้ค่ะ แล้วคุณเชอรี่ก็ตัดสินใจเลือกแล้วนะคะ 🙂