เรื่องของภาษาที่แม่อยากเล่า (ยาวมาก ใส่ตัวเลขเพื่อให้อ่านง่ายเฉยๆค่ะ)
1.
สมัยเรียน อุ้ยชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษมาก ตอนก่อนเข้าประถมฝันว่าคุณครูให้ของขวัญเราคนเดียวในห้อง เป็น dictionary ขนาดกะทัดรัดเล่มเขียว แต่ตื่นมาก็ไม่มีแล้วนะ คุณครูคงให้พรเรามา 
.
2.
รู้สึกว่าเราสนใจวิชาอังกฤษเป็นพิเศษ ตอนอยู่ประถมปลาย ถึงตาเราต้องออกไปยืนอ่านหน้าห้อง จำที่ครูสอนกันได้เนอะว่าเสียง th จะไม่ใช่ “ท” เหมือนตัว t ทั่วไป ต้องเอาลิ้นยื่นออกมาแตะระหว่างฟันบน และฟันล่าง แล้วพ่นลมออกมา แล้วประโยคเริ่มต้นคือ “Read together” ก็ต้องอ่านให้ถูกปะ ลิ้นแตะที่ปลายฟัน อ่านออกมาอย่างมั่นใจ ครูหันขวับมามอง ประมาณว่าแหม เธอนี่ …ก็คิดว่าจะมีคนอ่านแบบนั้นไหมละ ไม่มีสักคนอะ สุดท้ายอ่านถูก แต่อาจจะไม่ถูกใจครู สมัยนั้นมีแบบนี้จริงๆ
.
3.
ครั้งหนึ่งมีคุณครูฝึกสอนมาจากโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง วิชานี้แหละ แล้วทำไมรู้ไหม บนกระดานจะต้องเขียนวันที่ทั้งไทย และอังกฤษด้วยชอล์กเป็นตัวเขียน ครูฝึกสอนเห็นแล้วก็บอกว่า นี่นักเรียนวันที่ลงท้ายด้วย 13 ต้องใช้ rd นะคะ ไม่ใช่ th เพื่อนๆหันมามองที่คนเขียน
.
4.
คนที่เขียนคือดิฉันนี่แหละค่ะ 555 (ลายมือมั่นใจว่าสวย ก็ปีนเก้าอี้เขียนเกือบทุกวัน เขียนจนชินอะ) บอกครูไปอย่างสุภาพว่าไม่ใช่นะคะ อันนั้นต้องเป็นเลข 3 หรือ 23 ที่ลงท้ายด้วย third ค่ะ ครูฝึกสอนย้ำหนักแน่นว่าไม่ใช่ค่ะ ครูว่านักเรียนน่าจะเข้าใจผิด บลา บลา บลา เพื่อนหลายคนในห้องก็ช่วยยืนยันว่าต้องเป็น th เอาเป็นว่าคลาสนั้นก็เรียนแบบไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวครูเท่าไร และหลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นครูผู้ช่วยคนนั้นอีกเลย ครูอังกฤษคนเดิมเดินเข้ามาในห้อง แล้วบอกว่าวันนั้นที่ถูกคืออะไร พวกเด็กๆถูกแล้วนะ
.
5.
สิ่งพวกเนี้ยมันอาจจะดูไม่มีอะไรสำหรับพวกผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กประถมในตอนนั้นมันเป็นเรื่องของความมั่นใจ ความเชื่อมันเลยนะ ถ้าวันนั้นกลัวว่าต่อไปครูจะไม่ปลื้มไหมนะ ทีหลังไม่ต้องอ่านให้ถูกก็ได้ ทำเหมือนนักเรียนส่วนใหญ่ซะ เราคงจะไม่ได้ซึบซับความถูกต้องมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงไม่ได้มีความมั่นใจในการออกเสียง เรื่องภาษาสำคัญคือ การพูด การเปล่งเสียงออกมา และมันทำให้เรารู้แต่เด็กว่า ครูหรือผู้ที่โตกว่า อาจจะผิดพลาดได้ ไม่ได้เชื่อเพียงเพราะเค้าสอนมา แบบนั้นแบบนี้
.
6.
อุ้ยเลยชอบ grammar คิดว่ามันมีหลักเกณฑ์ชัดเจนดี อาจจะมีข้อยกเว้นนิดหน่อย พอขึ้นมัธยม อังกฤษจะเป็นวิชาที่ก่อนสอบเราจะเป็นคนติวเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ grammar นี่ละ ได้ท็อปบ้าง รองท็อปบ้าง พอไม่ได้เต็มก็จะแปลกใจนิดหน่อยว่าเราพลาดตรงไหน หรือถ้ามีบางจุดที่เราไม่มั่นใจ จะกลับไปพลิกดู มันเลยทำให้เราแม่น
.
7.
สิ่งพวกนี้รวมถึงประสบการณ์ที่จะเล่ามันถูกถ่ายทอดไปยังลูกสองคนด้วยนะ สมัยน้องมีมีอยู่อนุบาล ลูกเคยบอกว่าโดนเพื่อนว่า “ไม่ต้องตอบก็ได้ เดี๋ยวโดนเลย” โห นี่อนุบาลนะ พอฟังแล้วแบบ แต่ก็บอกลูกไปว่า ไม่เป็นไร เรารู้เราก็ตอบ teacher ไป เราไม่ได้ทำผิดอะไร เราต้องทำให้ลูกมั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
.
8.
ตอนอยู่ ม.2 จำได้คุณครูบอกว่ามีสอบชิงทุนไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษนะ ก็แบบลองดู ตอนนั้นเลยทำให้รู้ว่าสิ่งที่เรียน สิ่งที่รู้ ถ้าจะเอาไปสอบมันไม่พอ ผลออกมาคือ ได้ไปแต่ไม่ได้ทุนเต็มจำนวน คือเสียตังค์หลายหมื่นอยู่ ถ้ากลับไปบอกป๊าที่บ้าน ป๊าก็คงให้ไปแหละ แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า เปลือง!!
.
9.
พอขึ้น ม.3 ครูก็เลยให้ไปสอบอีก คราวนี้ลองเปลี่ยนเป็นนิวซีแลนด์ เผื่อง่ายกว่า ปรากฏไม่เลย รอบนี้ก็ยังไม่ได้ไปฟรี เสียตังค์ ไม่เอาแล้ว มันเลยเป็นความรู้สึกช่วงนั้นแหละว่าสักวันนึง ไว้เราค่อยไปเรียนต่างประเทศ แล้วพอขึ้น ม.ปลาย ก็มีพวก AFS เด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน แต่จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเลือกไม่ไปสอบ ติดที่อะไรสักอย่าง เลยไม่ได้สนใจแล้ว
.
10.
พอจะเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นไม่ได้มีในหัวเลยว่าจะเข้าอักษรศาสตร์ หรืออะไร รู้แต่ว่า ถ้าเรียนดีตอนนั้น ส่วนใหญ่ถ้าไม่เข้าแพทย์ ก็วิศวะกัน แต่ด้วยความที่เคยไปค่ายอยากเป็นหมอที่ศิริราชมาก่อน ได้มาพับผ้ากอซ พับสำลี ช่วยป้อนอาหาร เช็ดตัวผู้ป่วย เลยไม่ได้รู้สึกมีความอยากตรงนี้ แล้วที่สำคัญ กลัวสิ่งลึกลับ เลยคิดว่ามาทางวิศวะท่าจะwork กว่า สุดท้ายก็เลยเข้าไปเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่เลือกอันดับ1 (อันดับ2 เลือกเภสัช อันดับ 3-4 วิศวะนะ แปลกไหม
)
.
11.
ตัดกลับมาที่ภาษา สุดท้ายมันคงเป็นความสนใจลึกๆ ตอนปี4 เลยไปลงเรียนวิชาการแปล แบบไปนั่ง sit in เอาความรู้ ไม่เอาเกรด ก็รู้สึกว่าโห โคตรยากเลย 555 ช่วงเรียนมหาลัยก็มีไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็กมหาลัยจากตปท. ได้ใช้ภาษาบ้าง แถมตอนปี4 ก็มีทริปนึงได้ไปทำกิจกรรมของ UNESCOใน ตปท. เชียวนะ คือแบบเปิดโลกมากกก …ไปขุดบึง ขุดบ่อ และห้องน้ำเหม็นมากกก!!
.
12.
ตอน ปี4 ใกล้จบ ตอนนั้นมีหนังเรื่อง View From The Top ที่ Gwyneth Paltrow รับบทเป็นแอร์โฮสเตส แล้วเค้ามีแคมเปน ประมาณว่าให้สาวๆที่สนใจในอาชีพเข้าไปเรียนรู้ ไปสัมผัสอาชีพนี้หนึ่งวันเต็มๆ จำได้ว่ารับไม่กี่คนนะ ปรากฎได้รับเลือกจ้า นี่เค้าเลือกจากหน้าตาจริงๆอะ 555 โอ้ยดีใจ แต่…สรุปวันนั้นไม่ได้ไป ชน Project หรืออะไรเนี่ยแหละ อยู่ห้อง lab ทั้งวันจ้าาา โอ้ย กรีดร้อง
.
13.
พอเรียนจบแล้วทีนี้แหละ จะได้ลัลล้าาละ แต่ก่อนจะจบดีก็มีจดหมายให้ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทแห่งหนึ่งในนิคม คิดว่าพวกเราในภาคน่าจะได้กันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าบอกที่บ้าน ป๊าจะว่ายังไงเนี่ยยย ช่วงนั้นก็เริ่มเข้าเวปบอร์ดพวก cabincrew แล้วนะ คุยกับคนนั้นนี้บ้าง เก็บข้อมูลไปเรื่อย จนมา meeting กับพวกแก๊งค์ที่จะไปแอร์ EK ด้วยกัน คิดไว้ว่าชั้นจะต้องมาสมัครที่นี่
.
14.
สรุปเลิกล้มไป ห่วงนั่นนี่บ้างละ ขาไม่สวยบ้างละ และน่าจะยังไม่เปิดรับ ตอนนั้นได้รู้จักพวกโปรแกรม Aupair เออ เราไปหาประสบการณ์ต่างแดนแบบไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กก็ได้ ได้ตังค์ด้วย ป๊ารู้ทีนี้ละ เป็นห่วงเลย น่าจะห่วงเด็กๆมากกว่า
ท้ายสุดของที่สุด ก็คือ ไหนๆจะเสียเวลาไปเรียนโทแล้วกัน ประเทศแรกที่มองดูคือ แคนาดา แต่ก็มาจบลงตรงที่ออสเตรเลีย ฮาตัวเองอยู่เหมือนกัน เง้อออ
.
15.
และแล้วก็ได้มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองกันจริงๆ ตาม step ทั่วไปเนอะ ก็มาลงเรียนภาษากันก่อนสักแพรบจะได้ปรับตัวก่อนเข้ายู โอ้โห จะบอกว่า teacher ให้ฟังข่าวจากทีวี แล้วสรุปใจความ และตอบคำถาม ยอมรับเลยว่าฟังไม่รู้เรื่อง!! คิดในใจ “ภาษาชั้นก็ไม่ได้ขี้เหร่ปะวะ” ตอนนั้นรู้เลยว่า listening skill อ่อนด๋อยมาก ลืมบอกไปว่าอุ้ยขน dictionary เล่มหนาสีแดงของ Macmillan ใส่กระเป๋าเดินทางไปด้วย ไม่ใช้ talking dict นะคะ มันหนักมากกก กินพื้นที่ด้วย แต่คุ้มค่ะบอกเลย เป็น dict อังกฤษแปลเป็นอังกฤษ (Eng-Eng) และมีตัวอย่างการใช้ จะบอกว่า dict ก็ต้องเลือกนะคะ มันมีสำหรับ advanced learner ด้วย อุ้ยใช้เล่มนี้บ่อยมากในการเขียนหรือทำ report ใช้แบบนี้เปิดมันกว่าเยอะค่ะ และเราจะซึมซับภาษาและการใช้ได้ดี ก่อนกลับไทย กระเป๋า เสื้อผ้า printer heater และอีกหลายสิ่งทิ้งไว้ที่โน้น แต่เล่มนี้ขนกลับมาค่ะ สภาพยังดี เตรียมส่งต่อให้ลูก 555
.
16.
พอกลับมา ถือว่าโชคดีที่ได้ทำงานในองค์กรที่ได้ใช้ภาษา และมีโอกาสไปทำงานที่นิวซีแลนด์เดือนนึง หลายส่ิงทำให้รู้ว่า หลายคนที่ไม่ได้เก่งมาก แต่ถ้าภาษาดีมากก็ไปได้ไกล กับพี่ๆบางคนทำงานมานาน แต่สื่อสารไม่ได้ หรือ present ตัวเองไม่ดี หรือบางคนไม่เป็นเลย ก็ยังอยู่ที่เดิมหรือไปได้ไม่ไกลอย่างที่ควรจะเป็น
.
17.
มันเลยทำให้อุ้ยปลูกฝังเรื่องภาษาให้กับลูกต้ังแต่ยังเล็กๆ แต่ทั้งสองคนตั้งแต่อนุบาลจนถึงตอนนี้ ก็เรียนภาคปกตินะคะ (ไม่ใช่EP หรืออินเตอร์) EP ค่าเทอมไม่ต่างมาก แต่อินเตอร์อิแม่ไม่ไหว 555
เริ่มจริงจังตอนคนเล็ก น้องมีมีอายุ 7 เดือน อุ้ยพูด Eng กับเค้าอย่างเดียว พูดอยู่ฝ่ายเดียว เพราะลูกยังพูดไม่ได้ แรกๆก็ต้องอดทน (ไม่เลิกไปซะก่อน) แต่เชื่อเถอะผลที่ได้นั้นคุ้มค่า สำหรับแม่ๆที่อยากจะสอน Eng ลูกเอง สอนไปเถอะค่ะ อย่าคิดมากว่าภาษาเราไม่ดี อุ้ยก็ไม่ได้ดีมากนะ บางคำเราไม่แน่ใจก็จะเช็คเสียงก่อน เพราะไม่อยาก pronounce ผิด อุ้ยไม่ใช้วิธี Phonics นะคะแม้ช่วงนั้นจะมี Jolly Phonics ที่ดังอยู่ แต่ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวเลยไม่ได้สอนลูกแบบนั้นและไม่ได้ให้เรียนแนวนี้ด้วยค่า แต่ถ้าใครชอบ ใครว่าดี เอาตามเหมาะสมได้เลยค่า
.
18.
สิ่งที่สำคัญมากๆคือความสม่ำเสมอค่ะ อุ้ยอ่านหนังสือกับมีมี เกือบทุกวัน (ต้องเน้นว่าลูกสาว เพราะลูกชายจะคนละแบบ ลูกสองคนไม่เหมือนกัน) หลักสำคัญที่อุ้ยใช้คือจะชี้นิ้วใต้คำไปเรื่อยๆ ลูกจะรู้ว่าคำนี้อ่านว่าอะไรอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงได้บอกว่าอุ้ยไม่ได้ใช้ Phonics ลูกอ่านได้เองและก็รู้ว่าหมายถึงอะไรจากบริบทด้วย บางคำลูกไม่เข้าใจ แปลค่ะ Eng เป็น Eng น้องมีมีอ่านหนังสือนิทานภาษาอังกฤษได้เองทั้งเล่มตั้งแต่ 3 ขวบนิดๆ อุ้ยไม่เคยสอนประสมคำ หรือสะกดอะไรเลย และเราก็สนุกกับมันด้วย แต่เสียดายว่าวิดิโอเก่าๆช่วงนั้นหายไปแล้ว ที่มีตอนนี้จะเป็นคลิปที่ถ่ายตอนน้องมีมีกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน (มีใน youtube อุ้ยค่ะ)
.
19.
น้องมีมีเป็นมะเร็งตอนอายุ 3 ขวบ 5 เดือน การรักษา phase แรกเรากินอยู่ นอน รพ.เป็นเดือน และเรามาศิริราชกันบ่อยเหมือนเป็นบ้านหลังที่สองเลยช่วงนั้น สิ่งที่เราขนกันมาและให้ป๊าขนมาเพิ่มคือของเล่น หนังสือนิทาน Eng และIpad เอาไว้ดูการ์ตูน ไว้เดี๋ยวจะหาเวลามารีวิวการ์ตูน Eng ดีดีให้นะคะ แต่เชื่อว่าตอนนี้น่าจะมีคนรีวิวเอาไว้เพียบ ดูจากนั้นก็ได้ค่า …พอลูกป่วย อุ้ยก็เลิกพูดกับมีมีเป็น Eng ไปเลยปริยาย อารมณ์มันไม่ได้อะ นึกออกใช่ไหมคะ แต่สิ่งที่ติดตัวลูกอยู่คือ คลังศัพท์ รวมทั้ง skill ก่อนหน้าก็ยังไม่ได้หายไปไหนนะคะ
.
20.
ส่วนพี่เคนตะ พวกคลังศัพท์จะน้อยกว่าน้อง และ spelling ไม่แม่น บางทีต้องหันไปถามน้อง รวมทั้งการใช้ด้วย เพราะอย่างน้องสาว พวก tense หรือการใช้ เค้าจะได้จากประโยคที่เค้าอ่านบ่อยๆ เค้าจะรู้ว่าพวก story เล่าเรื่องอดีต มันคือใช้ verb แบบนี้ โดยที่เราไม่ต้องบอกว่า มันคือ past tense แต่คนโตเนี่ยต้องยอมรับว่าอุ้ยไม่ได้มีเวลาสอนหรืออยู่กับเค้ามากเท่าน้อง ไล่ต้ังแต่มีมีเล็กๆ เคนตะอยู่กับป๊ามากกว่า จนมีมีป่วย คือเราแยกกัน แต่เคนตะ listening skill จะดีกว่า และเค้ามีความกล้า ความมั่นใจมากกว่า ชอบสังคม ชอบไปค่าย ดังนั้นการเรียนที่เหมาะกับเด็กสองคนจะไม่เหมือนกัน และที่คิดไว้คือ จะให้ไปซัมเมอร์ ตปท. เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
.
21
ตอนนี้เคนตะ 11 ขวบอยู่ ป.5 จะขึ้น ป.6 แล้ว อุ้ยเคยถามเค้าก่อนหน้านี้เหมือนกัน ถามเล่นๆว่าอยากไปซัมเมอร์ ตปท.ไหม เคนตะส่ายหัว ไม่เอาอะ เคนไม่ไปเด็ดขาด “อืมดี ไม่เปลือง แล้วอีกหน่อย โตแล้วอย่ามาขอหม่าม้าไปนะ” แซวลูกขำๆ ปีถัดมาถามอีกก็เฉยๆนะ เพราะที่โรงเรียนจะจัดแคมป์พาไปร่วมกับ agency ข้างนอก แต่เย็นวันนึง อุ้ยอยู่บ้านลูกค้า เคนตะก็ไลน์มาบอกว่า “เคนตะขอไปซัมเมอร์นิวซีแลนด์นะหม่าม้า”
.
22.
ตกใจสิ 555 ไม่ทันต้ังตัว (อุ้ยให้มือถือเคนตะตอนอยู่ ป.5 นี่ละคะเผื่อคุณพ่อคุณแม่ถาม)
เอาละ #เมื่อลูกพร้อมเราพร้อมหรือเปล่า โอเค พอลูกมาขอก็ใจหายนะ สุดท้าย ลูกเอาจริงอะ คือเป็นเด็กอายุเกือบน้อยสุด ตำ่สุดที่รับคือ 10ขวบ แต่เรื่องการช่วยเหลือตัวเองไม่ห่วง ที่ห่วงเรื่องความสะอาด ความซุ่มซ่ามนี่ละ ได้แม่ครึ่งนึงสิลูก 555
.
23.
ในตอน ม.2 ที่อุ้ยเลือกไม่ไปอังกฤษ มีเพื่อนที่สอบได้ลำดับรองๆลงมา จ่ายเงินมากกว่า เค้าเลือกที่จะไป ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร จำได้ครั้งหนึ่งหัวหน้าเคยเล่าให้ฟังว่าลูกสาวได้รับเลือกให้นำชุดไปเดินบน London Fashion Week พร้อมนักศึกษาคนจีนอีกคน แต่สุดท้ายคนจีนต้องสละสิทธิ์ไปเพียงเพราะทุนทรัพย์ไม่เอื้ออำนวย (มันต้องจ้างนางแบบ ทีมงาน และตัดชุด) สองเหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่ทำให้อุ้ยรู้ว่า ในบางครั้งสิ่งที่เรามีต่างกันคือ #โอกาส
.
24.
โอเคใจพร้อม แล้วเงินละ??
จริงๆก็คิดว่า ม.ต้นไปก็กำลังดีนะ มันอยู่ในแผนการศึกษาที่อุ้ยวางไว้ (เก็บเงินส่วนนี้ไว้ ไปไม่ไปอีกเรื่อง) นี่ละค่ะ การวางแผนการศึกษา (Education Planning) นอกจากระยะยาวมันจะช่วยทุ่นแรง เพราะเตรียมเงินน้อยลงเนื่องจากพลังอัตราของดอกเบี้ยทบต้น และมันก็ช่วยให้เรามีทางเลือกมากขึ้นด้วย เอาเงินที่เก็บในแผนการศึกษาระยะกลาง ดึงมาใช้ก่อน ฉะนั้น เรื่องเงินก็ได้อยู่ แต่ก็ต้องใส่เข้าไปเหมือนเดิม เพราะถูกดึงมาใช้ก่อนกำหนด
.
25.
สุดท้ายสิ่งที่ท้าทายก็คือ โควิด19 นี่ละ เหลือไม่กี่วันจะออกเดินทาง คุณครู ผู้ปกครอง ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานทูต พอดีวันนั้นอุ้ยไม่ได้เข้าไปรับฟัง เพราะติดภารกิจที่เชียงใหม่ แต่สถานการณ์ตอนนั้น 1 มีนาคม อุ้ยก็ไม่ได้คิดว่าจะเลื่อนหรือยกเลิกนะ สุดท้ายเราตัดสินใจให้ลูกไป ตอนนั้นที่นิวซีแลนด์มีคนเป็นแล้ว 1 คน และพวกเรา ผปค.ท่านอื่น คุณครูและพี่เลี้ยงก็เตรียมตัวกันอย่างดีทั้งแอลกอฮออล์เจล และหน้ากากอนามัย พอไปถึงลูกคงสนุกมาก ลืมอิแม่ 555 แต่เห็นลูก happy มีความสุขก็ดีใจ หายห่วง พี่เลี้ยงก็คอยถ่ายรูปส่งข่าวให้ตลอด
.
26.
ท้ายที่สุดนิวซีแลนด์ประกาศปิดประเทศ และข่าวสารเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน ทางนี้ก็ลุ้นไปด้วย แต่ทางครูและพี่เลี้ยงน่าจะงานหนักกว่า ต้องหาที่ให้เด็กๆหลายชีวิตไปตรวจร่างกาย และเตรียมหนังสือรับรองจากสถานทูต หาตั๋วเครื่องบินกลับให้ครบทุกคน พร้อมจัดการกับความโกลาหลที่สนามบิน อันนี้ต้องชื่นชมจริงๆ สุดท้ายเคนตะและเพื่อนๆก็ต้องกลับไทยก่อนกำหนด และถึงไทยโดยสวัสดิภาพ วันที่ 24 มีนาคม 2563
.
27.
เท่าที่ได้รับฟังข่าวสารมาตั้งแต่ต้น เด็กๆทุกคนให้ความร่วมมือดี ยอมรับอย่างมีเหตุผล และที่สำคัญลูกชายได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นเลยทีเดียว #ประสบการณ์นอกห้องเรียน เคนตะบอกว่าสนุกมาก ชอบๆ ถามว่าไปยาวๆเลยดีไหม “ดีสิ แต่ต้องใช้เงินเยอะนะ ได้หรอ” …แหมมม รู้จักคิด 555 มิเสียแรงที่ input มาตลอด สิ่งน่ารักอีกอย่างคือเคนตะซื้อของฝากมาให้มีมี เคนตะบอกว่า “มีซื้อของมาให้เด็กขี้วีนด้วย” มีมีดีใจใหญ่ ของหม่าม้าไม่มี บอกของหมด 
28.กลับมาตัวดำหน้าดำ เม็ดขึ้นเต็มหน้า (ไม่ค่อยได้ล้างหน้า!) ดูมั่นใจขึ้นกว่าเดิมอีก และโตขึ้นเยอะ หลายคนถามว่าคิดถึงลูกไหม นึกถึงมากกว่า แต่ไม่ค่อยห่วงเท่าไร เพราะพี่เลี้ยงและครูคอยส่งข่าวตลอด รู้ว่าลูกทำอะไร …เมื่อวาน 7เมษายน 2563 เคนตะกักตัวครบ 14 วันพอดี ในห้องนอนสี่เหลี่ยมประมาณ 20 ตรม. ชั้น3 ของบ้าน และวันนี้เราก็ได้เจอกันแล้ว #อ้วนพีแน่นอน #กินกับนอนทั้งวัน
ภาพนี้เป็นภาพของวันนี้เมื่อปีที่แล้วที่เราอยู่ญี่ปุ่นกัน อะไรมันจะบังเอิญขนาดน้าน #คิดถึงญี่ปุ่น